วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554




ชื่อดาวเคราะห์ โลก   ภาษาอังกฤษ  Earth
สมบัติของดาว
ขนาดของเส้นผ่านศูนย์กลาง
โลก มีลักษณะเป็นทรงวงรี โดย ในแนวดิ่งเส้นผ่าศูนย์กลางยาว 12,711 กม. ในแนวนอน ยาว 12,755 กม. ต่างกัน 44 กม. เส้นรอบวงที่เส้นศูนย์สูตรยาว 40,077 กิโลเมตร (24,903 ไมล์)และที่ขั่วโลกยาว 40,009 กิโลเมตร (24,861 ไมล์)
มีพื้นน้ำ 3 ส่วน หรือ 71% และมีพื้นดิน 1 ส่วน หรือ 29 % แกนโลกจะเอียง 23.5 องศา
ระยะทางจาก โลก ถึง ดวงอาทิตย์ นั้นไม่แน่นอน โดยเฉลี่ยแล้วมีระยะทาง 150 ล้านกิโลเมตร หรือ 92,600,000 ไมล์
โลก (Earth) เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่สาม โดยโลกเป็นดาวเคราะห์หินขนาดใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ ดาวเคราะห์โลกถือกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณ 4,570 ล้าน (4.57×109) ปีก่อน และหลังจากนั้นไม่นานนัก ดวงจันทร์ ซึ่งเป็นดาวบริวารเพียงดวงเดียวของโลกก็ถือกำเนิดตามมา และโลกเป็นดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวที่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ยืนยันได้ว่ามีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาที่ครองโลกคือ มนุษย์ ชื่อของดาวเคราะห์ทั้ง 9 ดวงยกเว้นโลก ถูกตั้งชื่อตามเทพของชาวกรีก เพราะเชื่อว่าเทพเหล่านั้นอยู่บนสรวงสวรรค์ และเคารพบูชาแต่โบราณกาล ในสมัยโบราณจะรู้จักดาวเคราะห์เพียง 5 ดวงเท่านั้น(ไม่นับโลกของเรา) เพราะสามารถเห็นได้ ด้วยตาเปล่าคือ ดาวพุธ   ดาวศุกร์  ดาวอังคาร   ดาวพฤหัส   ดาวเสาร์   ประกอบกับดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ รวมเป็น 7 ทำให้เกิดวันทั้ง 7 ในสัปดาห์นั่นเอง และดาวทั้ง 7 นี้จึงมีอิทธิกับดวงชะตาชีวิตของคนเรา ตามความเชื่อถือทางโหราศาสตร์   ส่วนดาวเคราะห์อีก 3 ดวงคือ ดาวยูเรนัส   ดาวเนปจูน    ดาวพลูโต ถูกคนพบภายหลัง แต่นักดาราศาสตร์ก็ตั้งชื่อตามเทพของกรีก เพื่อให้สอดคล้องกันนั่นเอง
ลักษณะพื้นผิว และแก๊สที่ห่อหุ้ม
1. ชั้นเปลือกโลก (Earth  crust) เป็นส่วนที่อยู่นอกสุด ส่วนที่บางที่สุดอยู่ที่มหาสมุทรแปซิฟิกทางตะวันออกของฟิลิปปินส์  และส่วนที่หนาที่สุดอยู่ที่แนวยอดเขา  แบ่งเป็น 2 ส่วน
1.1. เปลือกโลกส่วนนอก ประกอบด้วยธาตุ Si ประมาณ 65-75% และAl ประมาณ 25-35% มีสีจาง จึงเรียกชั้นนี้ว่า หินไซอัล (Sial) ได้แก่ หินแกรนิต ผิวนอกสุดประกอบด้วยดิน   หินตะกอน    มีความหนาประมาณ6-35 km
    1.2. เปลือกโลกส่วนล่าง   ประกอบด้วยธาตุ Si ประมาณ 40-50% และMg ประมาณ 50-60% มีสีเข้ม จึงเรียกชั้นนี้ว่า  ชั้นหินไซมา (Sima) ได้แก่  บะซอลต์  ติดต่อกับชั้นหินหนืดประกอบด้วยหินที่มีความแข็งไม่ต่อเนื่องเรียกว่า “โมโฮโรวิซิก”  (Mohorovicic) 
2. ชั้นแมนเทิล (Mantle)  อยู่ลึกถัดจากชั้นเปลือกโลก  หนาประมาณ3,000 km  ประกอบด้วยหินหนืด  ร้อนจัด  หนืดร้อนแดงอยู่ส่วนนอกและหนืดร้อนขาวอยู่ส่วนใน  ประกอบด้วยธาตุ  Fe  Si  และ Al    หลอมละลายปนอยู่ในหิน   เช่น  หินเพอริโดไทต์  (peridotite)  หินอัลตราเบสิd(ultrabasic)  หินหนืดเหล่านี้เรียกว่า  แมกมา (Magma)  ถ้าไหลออกมาภายนอกเรียกว่า  ลาวา (Lava)
     3. ชั้นแก่นโลก (Core)  อยู่ลึกถัดจากชั้นแมนเทิลเป็นชั้นในสุด หนาประมาณ 3,440 km  ประกอบด้วยหินแข็ง มีธาตุ  Fe และ Ni   เป็นองค์ประกอบ  มีอุณหภูมิและความถ่วงจำเพาะสูงมาก   แบ่งเป็น 2 ส่วน 
       3.1. แก่นโลกชั้นนอก (Outer Core) อยู่ในระดับความลึก2,900-5,000 km ประกอบด้วยหินหนืดร้อนจัดมีอุณหภูมิประมาณ 5,000-6,000 °C  และความถ่วงจำเพาะ  = 12
       3.2. แก่นโลกชั้นใน (Inner Core)  อยู่ในระดับความลึก 5,000 km    ประกอบด้วยหินแข็งร้อนจัด มีอุณหภูมิประมาณ 6,000 °ขึ้นไป  และความถ่วงจำเพาะ  = 17 
บริวารของโลก    

ดวงจันทร์เป็นบริวารของโลก โคจรรอบโลกทุกๆ 27 วัน 8 ชั่งโมง และขณะเดียวกันก็หมุนรอบแกนตัวเองได้ครบหนึ่งรอบพอดีด้วย ทำให้เรามองเห็นดวงจันทร์ด้านเดียว ไม่ว่าจะมองจากส่วนไหนของโลก ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง มนุษย์เพิ่งจะได้เห็นภาพ เมื่อสามารถส่งยานอวกาศไปในอวกาศได้ บนพื้นผิวดวงจันทร์ร้อนมากในบริเวณที่ถูกแสงอาทิตย์ และเย็นจัดในบริเวณเงามืด ที่พื้นผิวของดวงจันทร์มีปล่องหลุมมากมาย เป็นหมื่นๆหลุม ตั้งแต่หลุมเล็กไปจนถึงหลุมใหญ่มีภูเขาไฟและทะเลทรายแห้งแล้ง
วัฏจักรของดวงจันทร์
เราทราบแล้วว่า ถ้านับเดือนทางจันทรคติ แล้วดวงจันทร์จะโคจรรอบโลกหนึ่งรอบ กินเวลา 29 1/2 วัน ถ้าเรานับจุดเริ่มต้นของดวงจันทร์ที่วันเดือนดับ (New moon) เป็นช่วงที่ดวงจันทร์ อยู่เป็นเส้นตรงระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ ทำให้ดวงจันทร์ทึบแสง คนบนโลกจึงมองไม่เห็นดวงจันทร์ แล้วก็เป็นวันข้างขึ้นทีละน้อย เราจะเห็นดวงจันทร์สว่างเป็นเสี้ยวทางขอบฟ้าตะวันตก และจะเห็นดวงจันทร์ขึ้นสูงจากขอบฟ้าทิศตะวันตก ไปทางทิศตะวันออก พร้อมกับมีเสี้ยวสว่างมากขึ้น พอถึงช่วงวันขึ้น 7-8 ค่ำ ดวงจันทร์จะสว่างครึ่งซีกอยู่ตรงกลางท้องฟ้าพอดี (Quarter)
วันต่อมาจะเพิ่มเสี้ยวสว่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งวันขึ้น 14-15 ค่ำ ดวงจันทร์จะมาอยู่ตรงเส้น ระหว่างดวงอาทิตย์และโลก ทำให้ดวงจันทร์เกิดสว่างเต็มดวง (Full moon) หลังจากนั้นดวงจันทร์กลายเป็นข้างแรม ดวงจันทร์จะขึ้นช้าไปเรื่อยๆ จนหายไปในท้องฟ้าจะเห็นเดือนดับ แล้วก็เริ่มต้นใหม่ เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ การเกิดข้างขึ้นข้างแรม เนื่องจากดวงจันทร์โคจรรอบโลก 1 รอบ เท่ากับมันโคจรรอบตัวเอง 1 รอบพอดี ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ดังนั้นเราจึงเห็นดวงจันทร์เพียงซีกเดียวตลอดเวลา 





วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

ไมโอซิส และ ไมโทซิส

การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส ( mitosis)


การแบ่งเซลล์แบบนี้เป็นการแบ่งเซลล์ของเซลล์ร่างกาย (somatic cell) เพื่อเพิ่มจำนวน

แล้วขยายไปสู่ผนังเซลล์ใหม่กั้นเซลล์เดิมออกเป็น 2 เซลล์ ผนังเซลล์มีช่องเปิดให้สารจากเซลล์ 

ที่ติดกันผ่านเข้าออกได้ 
เซลล์ที่ได้จากการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสบางเซลล์จะเข้าสู่ วัฏจักรเซลล์


เซลล์บางเซลล์จะเปลี่ยนแปลงไปทำหน้าที่เฉพาะอย่าง

รูปภาพประกอบ

































การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส (meiosis)
การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส นิวเคลียสมีการเปลี่ยนแปลงโดยโครโมโซมในนิวเคลียส
ลดจำนวนลงครึ่งหนึ่ง เป็นการแบ่งเซลล์เพื่อสร้างเซลล์สืบพันธุ์
         เซลล์ร่างกายคนมีโครโมโซม  46  แท่ง หรือ  23 คู่ (2n)  แต่ละีคู่มีลักษณะเหมือนกัน
และมียีนควบคุมลักษณะเดียวกันอยู่ในตำแหน่งตรงกัน เรียกโครโมโซมที่เป็นคู่กันว่า
ฮอมอโลกัสโครโมโซม (homologous chromosome) เซลล์ที่มีโครโมโซมเข้าคู่กันเรียกว่า
เซลล์ดิพลอยด์  (diploid cell)

          เซลล์ในอวัยวะสืบพันธุ์จะเกิดการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส   ผลิตเซลล์ไข่่ซึ่งเป็น
เซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย  เซลล์อสุจิเป็นเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้
         เซลล์สืบพันธุ์มีโครโมโซม เพียงครึ่งเดียวหรือ เรียกว่า เซลล์แฮพลอยด์ (haploid cell)
การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส นิวเคลียสมีการ เปลี่ยนแปลง  2  รอบ จึงใช้เลขโรมัน  I และ  II
กำกับระยะต่าง ๆ


การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส (meiosis)
มี  2  ขั้นตอน ใหญ่ คือ  ไมโอซิส  I เป็นการลด  DNA หรือโครโมโซมลงครึ่งหนึ่ง
และ ไมโอซิส II  เป็นขั้นตอนที่คงจำนวนโครโมโซม

         ระยะอินเตอร์เฟส  I  (interphase I) ก่อนแบ่งเซลล์ เซลล์มีการเตรียมตัวเช่นเดียวกับ
การแบ่งแบบไมโทซิส ระยะเวลาการสังเคราะห์  DNA ยาวนานกว่าในแบบไมโทซิส
         
ระยะไมโอซิส  I  (meiosis I) เป็นการเปลี่ยนแปลงของนิวเคลียและไซโทพลาซึม
ในรอบที่  1 แบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ โพรเฟส เมทาเฟส II แอนาเฟส II  และเทโลเฟส II
ระยะโพรเฟส  I  (prophase I)
ระยะีนี้ใช้เวลานานกว่าระยะอื่น มีการเปลี่ยนแปลงคล้ายกับแบบไมโทซิส โครมาทินหดตัว
สั้นลงและมีขนาดใหญ่ขึ้น เซนโทรโซมเคลื่อนออกจากกันตามความยาวของนิวเคลียส
เยื่อหุ้มนิวเคลียสและนิวคลีโอลัสเริ่มสลาย
    
          โครโมโซมที่เป็นฮอมอโลกัสกัน จะเรียงเป็นคู่ มี 4 โครมาทิด อาจเกิดการไขว้กันของ
โครมาทิด เรียกว่า ครอสซิงโอเวอร (crossing over)  ตำแหน่งที่ไขว้กันเรียกว่า 
ไคแอสมา
 (chiasmata) เกิดการแลกเปลี่ยนชิ้นส่วนของโครมาทิดต่างเส้น
ที่อยู่ชิดกันทำให้สารพันธุกรรมถูกแลกเปลี่ยนด้วย
         
ระยะเมทาเฟส  I  (metaphase I)
ระยะนี้เส้นใยสปินเดิลที่ยึดเกาะฮอมอโลกัสโครโมโซมจะจัดให้โครโมโซมมาเรียง
ตัวกันเป็นคู่ ๆ โครโมโซมเรียงตัวตามแนวระนาบของเมทาเฟสเพลท ( กึ่งกลางเซลล์ )
เซนโทรโซมอยู่คนละขั้วเซลล์ เชื่อมต่อกันด้วยเส้นใยสปินเดิล ปลายด้านหนึ่งของ
เส้นใยสปินเดิลเกาะที่ไคนีโทคอร์ บริเวณเซนโทรเมียร์ของแต่ละโครโมโซม
         
ระยะแอนาเฟส  I  (anaphase I)
ระยะนี้มีการแยกโครโมโซมออกจากกัน คล้ายกับการแบ่งแบบไมโทซิส แต่เป็นการแยก
โครโมโซมที่เข้าคู่ออกจากกันไปคนละขั้วเซลล์ โดยแต่ละโครโมโซมประกอบด้วย  2  โครมาทิด
          
ระยะเทโลเฟส  I  (telophase I)
ในระยะนี้มีการสร้างเยื่อหุ้มนิวเคลียสล้อมรอบโครโมโซม ได้นิวเคลียสใหม่ 2 นิวเคลียส
และสร้างนิวคลีโอลัสขึ้นใหม่ แต่ละโครโมโซมมี  2 โครมาทิด จำนวนโครโมโซมลดลงครึ่งหนึ่ง
หรือเท่ากับ  n  ถ้าเซลล์เริ่มต้นเป็น   2n
          
การแบ่งไซโทพลาซึม ในรอบที่  1 การแบ่งไซโทพลาซึมในเซลล์พืชและเซลล์สัตว์
มีกระบวนการต่าง เกิดขึ้นเหมือนกับการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส แต่การแบ่งไซโทพลาซึม
ในรอบที่ 1 อาจไม่เกิดขึ้นกับเซลล์ทุกเซลล์
ระยะเมเทาเฟส  II
โครโมโซมจะมาเรียงกันอยู่บริเวณกลางเซลล์เซนโทรเมียร์และเริ่มมีการแบ่งตัว
เพื่อให้โครมาทิดแยกออกจากกัน
           
ระยะแอนาเฟส II

            
เส้นใยสปินเดิลหดสั้นเข้าและโครมาทิดก็จะแยกออกจากกันไปตามแนวของ
สายใยสปินเดิลเข้าสู่ขั้วของเซลล์

           
ระยะเทโลเฟส II
เมื่อโครโมโซมมาถึงขั้วของเซลล์ก็จะคลายเกลียวขดเป็นเส้นยาว มีนิวคลีโอลัสและ
เยื่อหุ้มนิวเคลียสเกิดขึ้น การเปลี่ยนแปลงในการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส II นั้นจะเหมือนกับ
การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส

          หลังสิ้นสุดการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสจะได้เซลล์ใหม่ 4 เซลล์ และแต่ละเซลล์
มีจำนวนโครโมโซมเท่ากับครึ่งหนึ่งของเซลล์เดิม
             รูปภาพประกอบ





        ในเซลล์สัตว์เยื่อหุ้มเซลล์คอดเข้าหากันจนเซลล์หลุดจากกัน ได้เซลล์ใหม่  2  เซลล์

เซลล์์ ในขณะที่มีการเจริญเติบโตในร่างกายของคนและสัตว์ 

       เซลล์บางชนิดมีการสร้างอยู่ตลอดเวลาเพื่อทดแทนเซลล์ที่ตายแล้ว เช่น เซลล์ไขกระดูก
และเซลล์ผิวหนัง  

        ส่วนในเซลล์ประสาท เซลล์กล้ามเนื้อยึดกระดูก และกล้ามเนื้อหัวใจมีการพัฒนาจนมีรูปร่างและหน้าที่พิเศษแตกต่างจากเซลล์ทั่ว ๆ ไป จะไม่มีการแบ่งตัว เมื่อเซลล์ตายไป
จะไม่มีเซลล์ใหม่ขึ้นมาแทน
สำหรับในพืชส่วนของโครงสร้างที่มีอายุมากและประกอบด้วยเนื้อเยื่อถาวร ไม่มีการแบ่งเซลล์
แต่บริเวณปลายของรากและยอดจะมีการเจริญเติบโตอยู่ตลอดเวลา และเป็นบริเวณที่มี
การแบ่งเซลล์ แบบไมโทซิสเสมอ

การแบ่งเซลล์เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นต่อเนื่องก่อนที่จะมีการแบ่งเซลล์์ เซลล์จะมีการ
เตรียมตัว ให้พร้อมก่อนการแบ่งเซลล์จนถึงการแบ่งนิวเคลียสและสิ้นสุดหลังการแบ่งไซโทพลาซึม   
เรียกว่า วัฏจักรของเซลล์ (cell cycle) ซึ่งพบเฉพาะการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสเท่านั้น

วัฏจักรของเซลล์ มี  2  ขั้นตอน
1. ระยะอินเตอร์เฟส (interphase) 
   2. ระยะที่มีการแบ่งแบบไมโทซิส (mitotic phase , M phase)

ระยะอินเตอร์เฟส ( Interphase )
เป็นระยะที่เซลล์เตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่จะแบ่งนิวเคลียสและไซโทพลาซึมเซลล์ ในระยะนี้
มีเมแทบอลิซึมสูงมาก มีนิวเคลียสขนาดใหญ่ และเห็นนิวคลีโอลัสชัดเจนเมื่อย้อมสี
ระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 20 ชั่วโมงและระยะอินเตอร์เฟส แบ่งเป็นระยะย่อยได้ 3 ระยะ คือ

1. ระยะก่อนสร้าง DNA  (G1 phase)
         เป็นระยะที่เซลล์มีการเจริญเติบโต ขนาดใหญ่ขึ้น มีการสังเคราะห์สารต่าง ๆ เช่น RNA 
และโปรตีน แต่ไม่มีการสร้าง DNA 
        เซนโทรโซมมีการแบ่งตัว แต่ละเซนโทรโซมประกอบด้วยเซนทริโอล  1  คู่
ระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง 

2. ระยะสร้าง DNA (S  phase)                 เป็นระยะที่เซลล์มีการสังเคราะห์  DNA เพิ่มอีกหนึ่งชุด  เรียกระยะนี้ว่า การจำลองตัวของ
โครโมโซม (chromosome duplication) สาย  DNA ในระยะนี้ยังคงเป็นเส้นใยโครมาทิน 
ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง 

3. ระยะหลังสร้าง DNA ( G2 phase )         เป็นระยะที่เซลล์เตรียมพร้อมที่จะแบ่งเซลล์ ไม่มีการสร้าง DNA แล้ว แต่มีการสร้าง RNA 
โปรตีนและออร์แกเนลล์ต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ใช้เวลาประมาณ 4 - 6 ชั่วโมง
เมื่อสิ่นสุดระยะอินเตอร์เฟส เซลล์จะมีสารต่าง ๆ สมบูรณ์พร้อมเข้าสู่ระยะไมโทซิสได้
โครโมโซมในสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดจะมีระยะ S ระยะ G 2 และไมโทซิสใกล้เคียงกัน ต่างกันที่
ระยะ G1  ดังนั้นเซลล์แต่ละชนิดจึงเข้าสู่ระยะการแบ่งเซลล์แตกต่างกัน เช่น
        เซลล์ประสาทอยู่ในระยะ G1 ยาวมาก ตลอดชีวิตของเซลล์โดยไม่มีการแบ่งเซลล์เลย
เซลล์ไขกระดูกที่สร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงมีระยะ G1 สั้น เพราะมีการแบ่งเซลล์อยู่ตลอดเวลา
        ระยะไมโทซิส  (M phase) 
เป็นระยะที่มีการแบ่งนิวเคลียส เกิดขึ้นในช่วงสั้น ๆ แล้วตามด้วยการแบ่งไซโทพลาซึม 
แบ่งได้เป็น ระยะ

1. ระยะโพรเฟส (prophase)  
         ระยะนี้จะเห็นนิวเคลียสชัดเจน นิวเคลียสยังมีเยื่อหุ้มอยู่ นิวคลีโอลัสสลายตัว โครมาทินขดตัว
บิดเป็นเกลียว ทำให้มองเห็นโครโมโซมสั้นลงและมีขนาดใหญ่ขึ้น มีการสร้างเส้นใยสปินเดิล 
(spindle fiber) จากเซนทริโอล ( ภายในเซนโทรโซม )            
         เซนโทรโซมทั้ง  2 ชุด เคลื่อนห่างออกจากกันไปอยู่คนละด้าน เส้นใยสปินเดิลโยงยึดระหว่าง
เซนโทรโซมทั้ง  2  ชุด
         ในเซลล์พืชเส้นใยสปินเดิล สร้างจากขั้วเซลล (polar cap)

2.ระยะเมทาเฟส (metaphase) 

         ระยะนี้เยื่อหุ้มนิวเคลียสลายตัว เส้นใยสปินเดิลจับกับโครโมโซมที่ไคนีโทคอร (kinetochore)
ซึ่งเป็นโปรตีนที่อยู่บริเวณเซนโทรเมียร์ ทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของโครโมโซม โครโมโซมหดตัว 
มีขนาดใหญ่ขึ้นและสั้นลง ทำให้โครโมโซมเคลื่อนที่ได้สะดวก  
         การเคลื่อนที่ของโครโมโซมเกิดจากการยืดหดของเส้นใยสปินเดิล เซนโทรโซมเคลื่อนมา
อยู่ตรงข้ามกันที่ขั้วเซลล์ทั้ง  2 ข้าง โครโมโซมเรียงอยู่กึ่งกลางเซลล์
3. ระยะแอนาเฟส (anaphase)
ระยะนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว สังเกตได้ยาก เกิดการแยกตัวของโครมาทิดของแต่ละโครโมโซม
แต่ละโครมาทิดจะถูกดึงให้แยกจากกันไปในทิศทางตรงกันข้าม โดยการหดตัวของเส้นใยสปินเดิล 
โครโมโซมแยกกันเป็น 2 กลุ่มแต่ละกลุ่มจะถูกดึงไปยังขั้วเซลล์ตรงกันข้ามกัน 
         ในระยะนี้โครโมโซม ที่เกิดขึ้นใหม่ (daughter chromosome) จึงมี โครมาทิดเพียง  1 เส้น

4. ระยะเทโลเฟส (telophase)  
  
        ระยะนี้โครโมโซมหยุดเคลื่อนที่ เส้นใยสปินเดิลสลาย มีการสังเคราะห์เยื่อหุ้มนิวเคลียส 
และนิวคลีโอลัส  DNA คลายเกลียวออกทำให้โครโมโซมยืดตัวออกเป็นเส้นใยโครมาทิน
       เมื่อใกล้สิ้นสุดระยะเทโลเฟส จะเกิดการแบ่งของไซโทพลาซึม ในเซลล์พืชจะ สร้าง
แผ่นกั้นเซลล (cell plate) คั่นตรงกลางระหว่างนิวเคลียสใหม่ทั้งสอง โดยเริ่มสร้างจากตรงกลาง

วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2554

หลอดไฟโฆษณา

 หลอดไฟโฆษณา
                หลอดไฟโฆษณาหรือหลอดนีออน  เป็นหลอดแก้วที่ถูกลนไฟแล้วดัดให้เป็นรูปหรือตัวอักษร ไม่มีไส้หลอดแต่ที่ปลายทั้งสองข้างจะมีขั้วไฟฟ้าทำด้วยโลหะ ต่อกับแหล่งกำเนิดไฟฟ้า  ที่มีความต่างศักย์สูงประมาณ 10,000 โวลต์ ภายในหลอดสูบอากาศออกจนหมดแล้วใส่ก๊าซบางชนิดที่ให้แสงสีต่างๆออกมาเมื่อมีกระแสไฟฟ้าผ่าน เช่นก๊าซนีออนให้แสงสีแดงหรือส้ม ก๊าซฮีเลียมให้แสงสีชมพู  ความต่างศักย์ที่สูงมากๆ จะทำให้ก๊าซที่บรรจุไว้ในหลอดเกิดการแตกตัวเป็นอิออน และนำไฟฟ้าได้ เมื่อกระแสไฟฟ้าผ่านก๊าซเหล่านี้จะทำให้ก๊าซร้อนติดไฟให้แสงสีต่างๆได้

หลักการทำงาน
           หลอดไฟโฆษณาหรือหลอดนีออนเป็นหลอดแก้วขนาดเล็กที่ถูกลนไฟแล้วดัดให้เป็นรูปภาพหรือตัวอักษรต่างๆ ไม่มีไส้หลอด แต่ที่ปลายทั้งสองข้างจะมีขั้วไฟฟ้าทำด้วยโลหะ ต่อกับแหล่งกำเนิดไฟฟ้า  ที่มีความต่างศักย์สูงประมาณ 10,000 โวลต์ ภายในหลอดชนิดนี้ จะสูบอากาศออกจนเป็นสุญญากาศหมดแล้วบรรจุใส่ก๊าซบางชนิดที่จะให้พลังงานแสงสีต่างๆออกมาเมื่อมีกระแสไฟฟ้าผ่าน เช่น ก๊าซนีออนให้แสงสีแดงหรือส้ม ก๊าซฮีเลียมให้แสงสีชมพู ความต่างศักย์ที่สูงมากๆ จะทำให้ก๊าซที่บรรจุไว้ในหลอดเกิดการแตกตัวเป็นอิออน และนำไฟฟ้าได้ เมื่อกระแสไฟฟ้าผ่านก๊าซเหล่านี้จะทำให้ก๊าซร้อนติดไฟให้แสงสีต่างๆได้และเป็น หลอดไฟฟ้าที่ทำงานด้วยหลักการปล่อยประจุความเข้มสูง มีปริมาณเส้นแรงของแสงสว่างต่อวัตต์สูงกว่าหลอดชนิดอื่น ๆ ส่องสว่างได้ไกลเหมาะกับงานสนาม นิยมใช้ตามถนน บริเวณเสาไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรม

         การทำงานของหลอดนีออน เมื่อไส้หลอดเผาจนร้องแดง ทำให้อิเล็กตรอนจากไส้หลอดวิ่งชนอะตอมของก๊าซที่บรรจุอยู่ภายในหลอด เกิดการแตกตัวเป็นอิออนและมีสมบัตินำไฟฟ้า ซึ่งจะร้อนและติดไฟให้พลังงานแสงสีต่างๆ
หลอดนีออน (Neon Lamp)
            เป็นหลอดไฟฟ้าชนิด ที่มีการบรรจุก๊าซต่างๆ เข้าไปเพื่อทำให้ เกิดแสงสว่างเป้นสีต่าง ๆ ตามชนิดของสารหรือก๊าซที่บรรจุเข้าไป ส่วนใหญ่จะใช้เป็นไฟประดับหรือติดป้ายโฆษณาตามสถานที่ต่าง ๆ บางครั้งอาจดัดหลอดให้มีรูปร่างเป็นตัวอักษรและข้อความต่าง ๆ โดยทั่วไปหลอดนีออนจะแบ่งประเภทตามแรงดันได้ 2ประเภทคือแรงดันสูงและแรงดันต่ำ
เป็น หลอดปล่อยประจุความดันไอต่ำ สีของหลอดมี 3 แบบคือ daylight ,cool white และ warm white เช่นเดียวกับหลอดฟลูออเรสเซนต์ แบบที่ใช้งานกันมากคือหลอดเดี่ยว มีขนาดวัตต์5  7 9 11 วัตต์และหลอดคู่ มีขนาดวัตต์ 10 13 18 26 วัตต์ เป็นหลอดที่พัฒนาขึ้นมาแทนที่หลอดอินแคนเดสเซนต์ และมีประสิทธิผลสูงกว่าหลอดอินแคนเดสเซนต์ คือประมาณ 50-80 ลูเมนต่อวัตต์ และ อายุการใช้งานประมาณ 5,000-8,000 ชม จัดเป็นหลอดประหยัดไฟที่นิยมใช้กันมากขึ้นในปัจจุบันเนื่องจากให้แสงสว่าง สูง อายุการใช้งานยาวนาน แสงสีที่นุ่มนวล และความร้อนที่ตัวหลอดน้อยกว่า เมื่อเทียบกับหลอด incandescent คุณลักษณะดังกล่าวจึงเหมาะกับการนำไปใช้ ให้แสงสว่างในอาคารแทนหลอด incandescent และนอกอาคารเป็นบางแห่ง โดยเฉพาะบริเวณที่ต้องเปิดไฟทิ้งไว้ เป็นเวลานานๆ ชนิดของหลอดคอมแพกต์ฟลูออเรสเซนต์1.แบบใช้บัลลาสต์ภายนอก แต่ที่ตัวหลอดจะมีสตาร์ทเตอร์ติดตั้งไว้ภายในเรียบร้อยแล้ว เรียกทั่วไปว่าหลอดตะเกียบ อาจมีลักษณะรูปร่างต่างกันออกไปในแต่ละรุ่นและยี่ห้อ
    
  ก๊าซที่บรรจุให้พลังงานแสงสีต่างๆ ดังนี้
 -ไอปรอท ให้พลังงานแสงสีฟ้าปนเขียว
 -ก๊าซอาร์กอน ให้พลังงานแสงสีขาวปนฟ้า
 -ก๊าซฮีเลียม ให้พลังงานแสงสีชมพู
 -ก๊าซนีออน ให้พลังงานแสงสีแดงหรือสีส้ม

 รูปหลอดไฟโฆษณา